- ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ผู้นำ FMCG สินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศไทย จับมือ แสนสิริ ผู้นำอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทย ผนึก PPP Plastic เดินหน้าส่งเสริมและสร้างความเข้าใจในการคัดแยกขยะจากต้นทางให้เกิดประโยชน์กับโครงการ “waste to WORTH: แยกไม่ยาก”
- ชวนทุกคน ‘ล้าง-ตาก-ทิ้ง’ เพื่อส่งต่อพลาสติกจากครัวเรือนไปแปรรูปกลับมาใช้ได้ใหม่ด้วยกระบวนการจัดการที่เหมาะสม พร้อมทั้งชะลอขยะพลาสติกลงสู่ภูเขาขยะให้น้อยที่สุด ตั้งเป้าเก็บขวดพลาสติกประเภท HDPE ขาวทึบ ขาวขุ่น เช่น ขวดนม ขวดแชมพู ขวดครีมอาบน้ำ ขวดโลชั่น และถุงพลาสติกต่างๆ เช่น ถุงหูหิ้ว ซิปล็อค ซองพลาสติก ถุงเติมน้ำยาหรือผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม เป็นต้น ในโครงการของแสนสิริมากกว่า 50 โครงการ ตั้งแต่วันนี้-31 ธันวาคม
- ตอกย้ำเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของยูนิลีเวอร์มุ่งหน้าสู่การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในปี พ.ศ. 2568
22 กันยายน 2564 กรุงเทพฯ: “waste to WORTH: แยกไม่ยาก” เป็นแคมเปญภายใต้ความร่วมมือของยูนิลีเวอร์แสนสิริ และ PPP Plastics รวมทั้งพันธมิตรในแวดวงพลาสติก อันได้แก่ เอสซีจี เคมิคอลส์ ทีพีบีไอ และรีไซเคิลเดย์ เพื่อส่งเสริมและสร้างความเข้าใจในการแยกรีไซเคิลตั้งแต่ต้นทาง ให้ขยะพลาสติกสามารถวนกลับมาเป็นทรัพยากรอันมีค่าด้วยการจัดการอย่างเหมาะสม ชวนทุกคน ‘ล้าง-ตาก-ทิ้ง’ คัดแยกขยะพลาสติกแบบย่อยสลายไม่ได้ จำพวก HDPE เช่น ขวดนมขาวขุ่น ขวดแชมพู ขวดน้ำยาซักผ้าน้ำยาปรับผ้านุ่ม และ ถุงพลาสติก เช่น ถุงผงซักฝอก น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม, ถุงขนมปัง และถุงหูหิ้วพลาสติกยืดซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ของใช้ที่มีมากในที่พักอาศัย เพื่อนำกลับเข้าสู่กระบวนการอัปไซเคิลโดยทีพีบีไอ และเอสซีจี เคมิคอลส์ ให้สามารถหมุนเวียนกลับและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ อาทิ ของตกแต่งบ้าน และอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อช่วยเหลือด้านโควิด ชุด PPE และเตียงสนาม เป็นต้น โดยทุกคนในโครงการแสนสิริสามารถนำพลาสติกดังกล่าว มาแยกได้ที่จุด Drop Point บริเวณ Habito Mall ชั้น 1 และลูกบ้านแสนสิริที่เข้าร่วมในกว่า 50 โครงการสามารถนำส่งกับ Recycle Day หรือนิติฯ ในโครงการ ตั้งแต่วันนี้-31 ธันวาคมนี้ สามารถติดตามกิจกรรรมเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Sansiri PLC
นายโรเบิร์ต แคนเดลิโน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทยและภาคพื้นอาเซียน กล่าวว่า“ยูนิลีเวอร์มีความมุ่งมั่นอย่างลึกซึ้งต่อความยั่งยืนในทุกรูปแบบ เพราะเห็นได้ชัดว่าเราไม่สามารถมีธุรกิจที่แข็งแกร่งบนโลกที่ป่วยได้ นี่คือเหตุผลที่ยูนิลีเวอร์มุ่งมั่นทุ่มเทในหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องขยะพลาสติก”
“ภายในปี พ.ศ. 2568 บรรจุภัณฑ์ของเราจะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ รีไซเคิลได้ หรือย่อยสลายได้ 100% นอกจากนี้ เราจะลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ (Virgin Plastic) ลง 50% และเราจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและจับมือกับพันธมิตรเพื่อรับประกันว่าเราจะเรียกเก็บบรรจุภัณฑ์พลาสติกให้มากกว่าที่เราจำหน่าย นั่นหมายถึงการป้องกันพลาสติกไปยังบ่อฝังกลบและรั่วไหลไปยังแหล่งน้ำของเรา โดยการนำกลับเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ ความร่วมมือกับแสนสิริถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน โครงการ “waste to WORTH: แยกไม่ยาก” จะความเข้าใจและเครื่องมือเพื่อส่งเสริมให้คนไทยที่เป็นลูกบ้านในโครงการของแสนสิริคัดแยกพลาสติกจากครัวเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับซองหรือถุงเติมพลาสติกที่มีมูลค่าต่ำจากบ้าน ซึ่งทั้งหมดสามารถรวบรวมและแปรรูปให้สามารถใช้ใหม่อย่างมีความรับผิดชอบ ถือเป็น วิน วิน วิน อย่างแท้จริง”
ด้านสถานการณ์ ‘ขยะพลาสติก’ ในไทย มีข้อมูลจากเสวนาออนไลน์ของ PPP Plastics ในหัวข้อ “ขยะพลาสติก : การจัดการและโอกาส Post COVID-19” ระบุว่า ในช่วงก่อนโควิด-19 ไทยมีขยะพลาสติกเฉลี่ย 2 ล้านตัน/ปี หรือเฉลี่ยประมาณ 90 กรัม/คน/วัน (ม.ค.- ธ.ค. 2562) โดยมีขยะพลาสติกถูกนำกลับไปใช้ประโยชน์คิดเป็น 0.5 ล้านตัน/ปี และได้ ถูกนำไปกำจัดโดยวิธีฝังกลบหรือเตาเผา 1.5 ล้านตัน/ปี แม้ว่าในช่วงต้นปี 2563 มีการรณรงค์ลดใช้พลาสติก โดยมีประชาชนให้ความสนใจ พร้อมหันมาใช้ถุงผ้ากันมากขึ้น แต่หลังจากที่มีสถานการณ์โควิด -19 จนถึงการระบาดระลอกใหม่ ปริมาณขยะพลาสติกเพิ่มขึ้นถึง 45% เฉลี่ยประมาณ 139 กรัม/คน/วัน (เม.ย.2564) และคาดว่าอาจจะมากกว่าเดิม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต รวมไปถึงความจำเป็นในการใช้พลาสติกจากสถานการณ์โควิด-19
นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริได้ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ดูแลสังคมและสร้างองค์กรที่ดี ภายใต้พันธกิจ “Sansiri Sustainability: Everyday Better” โดยเรายึดมั่นที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกวันให้กับลูกบ้าน สังคมและทุกคน ซึ่งการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีจึงเป็นหนึ่งในแนวคิดหลักของแสนสิริ ที่เราได้ดำเนินการมาอย่างจริงจัง และประสบความสำเร็จจากการร่วมมือกับเหล่าพันธมิตรมากมาย โดยในปีนี้ เราได้สานต่อความสำเร็จ จับมือยูนิลิเวอร์ กับ “waste to WORTH: แยกไม่ยาก” ในกว่า 50 โครงการแสนสิริและ Habito Mall เดินหน้าส่งเสริมและสร้างความเข้าใจในการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางให้เกิดประโยชน์ เพื่อคัดแยกพลาสติกครัวเรือนเข้าสู่กระบวนการจัดการต่อไป ซึ่งกิจกรรม “waste to WORTH: แยกไม่ยาก” จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ALL_Thailand ภายใต้ทุนสนับสนุนจาก Alliance to End Plastic Waste (AEPW) กับเป้าหมายในการเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมสร้าง Business Model ในการจัดการขยะพลาสติกกับ PPP Plastics และเมื่อโครงการแล้วเสร็จภาครัฐสามารถนำไปขยายผลให้ครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจของประเทศไทย”
ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ประธาน โครงการความร่วมมือภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม เพื่อจัดการพลาสติก และขยะอย่างยั่งยืน (Public Private Partnership for Sustainable Plastic and Waste Management:(PPP Plastics) กล่าวว่า“โครงการ “waste to WORTH: แยกไม่ยาก” เป็นอีกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของแสนสิริ ยูนิลีเวอร์ และ PPP Plastics ที่จะช่วยแก้ปัญหาขยะพลาสติกตั้งแต่ต้นทาง การสร้างจุดทิ้งและเชื่อมต่อ Network ตั้งแต่ผู้แยกและผู้นำไปรีไซเคิล เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยนำพลาสติกใช้แล้วกลับมาใช้ประโยชน์ให้ได้ตามเป้าหมายของ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561–2573 ของภาครัฐ การดำเนินงานในครั้งนี้จะช่วยสร้างต้นแบบระบบการจัดการพลาสติกใช้แล้วที่สอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจ BCG หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green: BCG Model)ที่รัฐบาลกำหนดเป็นโมเดลเศรษฐกิจในการพัฒนาประเทศ อย่างยั่งยืนและเป็นวาระแห่งชาติ BCG โดยเฉพาะในส่วนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่มุ่งเน้นการลดการใช้ทรัพยากร การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการลดมลพิษขยะพลาสติกในทะเลควบคู่กันไปด้วย ในขณะที่ผลิตสินค้าและบริการที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น”
ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ได้ Rethink Plastic ด้วยหลักการ Less Plastic, Better Plastic และ No Plastic จนถึงปัจจุบันได้เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์จากขวดพลาสติกผลิตใหม่ (virgin plastic) เป็นขวดรีไซเคิล ทำให้ลดพลาสติกได้ 5,000 ตัน และในวันนี้ ความร่วมมือกับพันธมิตรที่ครบวงจรนี้ที่จะเปลี่ยนขยะพลาสติกเป็นทรัพยากรอันมีค่า ถือเป็นความก้าวหน้าเรื่องพลาสติกที่ทุกคนจะช่วยนำพาประเทศไทยสู่การเป็นเศรษฐกิจหมุนเวียน
เกี่ยวกับยูนิลีเวอร์ประเทศไทย
ยูนิลีเวอร์เป็นหนึ่งในผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของโลก ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ความงามและของใช้ส่วนบุคคล รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ดูแลบ้านและอาหารและเครื่องดื่มที่มียอดขายในกว่า 190 ประเทศและเข้าถึงผู้บริโภค 2.5 พันล้านคนต่อวัน ยูนิลีเวอร์มีพนักงานทั่วโลก 1490,000 คนและมีรายได้จากยอดขาย 1.98 ล้านล้านบาทในปี 2563 ตลาดมากกว่าครึ่งหนึ่งของยูนิลีเวอร์ อยู่ในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศตลาดใหม่ ทุกหลังคาเรือนทั่วโลกใช้ผลิตภัณฑ์ของยูนิลีเวอร์ซึ่งมีประมาณ 400 แบรนด์ รวมถึงแบรนด์ที่เป็นสัญลักษณ์อย่าง โดฟ ไลฟ์บอย คนอร์ แม็กนั่ม โอโม และบรีส ในประเทศไทย ยูนิลีเวอร์ อยู่คู่คนไทยมากว่า 88 ปี เรามีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนในประเทศไทย เราดำเนินรอยตามวิสัยทัศน์ในระดับโลก เพื่อเป็นผู้นำธุรกิจที่ยั่งยืน และแสดงให้เห็นว่ารูปแบบธุรกิจที่นำด้วยจุดมุ่งหมายและเข้ากับอนาคตสามารถขับเคลื่อนผลการดำเนินงานที่ดีกว่า เรามีวัฒนธรรมที่ยาวนานในการเป็นธุรกิจที่ก้าวหน้าและรับผิดชอบ
แนวทาง Unilever Compass เป็นกลยุทธ์เพื่อธุรกิจยั่งยืนที่ถูกกำหนดขึ้นมา เพื่อช่วยให้เราสร้างผลการดำเนินการที่ดียิ่งขึ้นและผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบ ในขณะที่
- ช่วยให้สุขภาพของโลกใบนี้ดีขึ้น
- ช่วยยกระดับให้ผู้คนมีสุขภาพ ความมั่นใจ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และ
- ช่วยทำให้เกิดโลกที่เป็นธรรมและคำนึงถึงสังคมส่วนรวมมากขึ้น
ในขณะที่ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากมาย เราภูมิใจที่ได้รับการยกย่องในปี 2563 ให้เป็นหนึ่งในผู้นำดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน และยังเป็นบริษัทอันดับต้นๆ ในการสำรวจ Global Corporate Sustainability Leaders อีกด้วย
ข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์สินค้า:www.unilever.com
ข้อมูลเกี่ยวกับ แผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนของยูนิลีเวอร์ (USLP):www.unilever.com/sustainable-living/