ห่วงโซ่คุณค่า สำคัญอย่างไร
ห่วงโซ่คุณค่า คือ การอธิบายถึงคุณค่าของกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรที่มีความสัมพันธ์ และเกี่ยวเนื่องกับการสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับเหล่าวัตถุดิบ สินค้า และบริการภายในห่วงโซ่อุปทานขององค์กร โดยกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้จะเริ่มตั้งแต่การจัดหา จัดซื้อวัตถุดิบ ไปสู่กระบวนการแปลงสภาพวัตถุดิบเหล่านั้นให้กลายเป็นสินค้าต่างๆ แน่นอนว่าในแต่ละขั้นตอนการผลิตก็จะมีการใช้ทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นเงิน บุคลากร วัตถุดิบ อุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงการบริหารจัดการ ซึ่งห่วงโซ่คุณค่าขององค์กรจะถูกเชื่อมต่อกับห่วงโซ่คุณค่าของผู้จัดหา ส่งมอบ และห่วงโซ่คุณค่าของลูกค้าต่อกันไปเรื่อยๆ
และเมื่อห่วงโซ่คุณค่านั้นหมายถึงทุกกิจกรรมที่ทำให้เกิดสินค้าและบริการขึ้นมา แน่นอนว่าต้องมีความสำคัญต่อเหล่าองค์กรผู้ผลิตเป็นอย่างมาก นอกจากจะสร้างความเป็นระบบระเบียบแล้ว ยังส่งผลต่อความน่าเชื่อถือขององค์กรอีกด้วย
ประเภทของห่วงโซ่คุณค่า
ห่วงโซ่คุณค่าสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
- ประเภทกิจกรรมหลัก: เป็นกิจกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เช่น กิจกรรมการเตรียมพร้อมและจัดหาก่อนผลิต กิจกรรมระหว่างขั้นตอนการผลิต กิจกรรมการขนส่งและกระจายสินค้า
- กิจกรรมสนับสนุนในห่วงโซ่คุณค่า: มักเป็นกิจกรรมที่จะเข้าไปช่วยให้กิจกรรมหลักดำเนินงานได้อย่างราบรื่น เช่น กิจกรรมในการพัฒนาบุคลากร หรือกิจกรรมด้านการบริหารและพัฒนาระบบเทคโนโลยีนวัตกรรม
ตัวอย่างห่วงโซ่คุณค่าจากยูนิลีเวอร์
ยูนิลีเวอร์ ในฐานะองค์กรที่มุ่งสู่ความยั่งยืน เราให้ความสำคัญการดำเนินงานภายในที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่คุณค่าของเราในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังเป็นปัญหาลุกลามระดับโลก จนเกิดเป็นหลากหลายโครงการ เพื่อแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่คุณค่า ดังนี้
- การลงทุนด้านสภาพภูมิอากาศและธรรมชาติ
ในปีพ.ศ. 2563 ยูนิลีเวอร์ได้จัดตั้งกองทุนกองทุนสภาพภูมิอากาศและธรรมชาติ (Climate & Nature Fund) โดยมีเป้าหมายที่จะลงทุน 1,000 ล้านยูโรในทศวรรษนี้ในโครงการต่างๆ ที่จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและสนับสนุนแนวทางแก้ปัญหาทางธรรมชาติทั่วโลก โดยเอริค ซูเบรัน (Eric Soubeiran) รองประธานฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจ ความยั่งยืน และกรรมการผู้จัดการของกองทุน มั่นใจว่าแบรนด์ของเราลงทุนในโครงการที่มีผลกระทบเชิงบวก ตัวอย่างเช่น ความร่วมมือระหว่างโดฟ และกลุ่มริมบา (Rimba Collective) ที่ช่วยปกป้องและฟื้นฟูป่าฝนกว่า 50,000 เฮกตาร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่กว่าแมนฮัตตันถึง 8 เท่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในระยะเวลา 5 ปี
- การขยายความร่วมมือด้านสภาพอากาศกับซัพพลายเออร์ผู้จัดหา
มากกว่า 70% ของการปล่อยมลพิษของเรามาจากวัตถุดิบ ส่วนผสม และบรรจุภัณฑ์ที่เราซื้อ ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศในทีมความยั่งยืนของการดำเนินงานทางธุรกิจของยูนิลีเวอร์ จึงต้องทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ผู้จัดหาที่ส่งผลกระทบมากที่สุดต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขั้นต้นของเรา โดยสนับสนุนให้พวกเขาตรวจสอบและลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนในผลิตภัณฑ์ของตน เพื่อที่เราจะได้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเราได้เช่นกัน
ปัจจุบันเรามีซัพพลายเออร์ประมาณ 52,000 ราย และท่ามกลางจำนวนนี้ ซัพพลายเออร์กว่า 300 รายมีส่วนสนับสนุนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขั้นต้นของเราอย่างมาก เมื่อเราเริ่มค้นคว้าวิธีการทำงานร่วมกับพวกเขาในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เราพบว่าสองในสามของกลุ่มนี้ยังไม่มีเป้าหมายด้านสภาพอากาศ ซึ่งถือเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ยูนิลีเวอร์ จะให้การสนับสนุน”
- การลดคาร์บอนในโรงงานของเรา
ยูนิลีเวอร์มุ่งมั่นที่จะจัดหาพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน 100% มาใช้ในการดำเนินงานของเรา และเราก็มีความคืบหน้าอย่างมากที่ระบบไฟฟ้าทั้งหมดถูกนำไปใช้งานอย่างแพร่หลาย
"โรงงานยูนิลีเวอร์เกตเวย์ ในประเทศไทย" ใช้พลังงานหมุนเวียนอยู่แล้ว แต่เรากำลังเน้นที่ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เนื่องจากพลังงานที่ยั่งยืนที่สุดคือพลังงานที่เราไม่ได้ใช้เลย การทำเช่นนี้ยังสมเหตุสมผลสำหรับธุรกิจของเราด้วย เราคาดการว่าประสิทธิภาพการใช้พลังงานจะช่วยให้ยูนิลีเวอร์ประหยัดเงินได้มากกว่า 1 พันล้านยูโร
แน่นอนว่าโรงงานยูนิลีเวอร์เกตเวย์ได้เริ่มดำเนินงานเกี่ยวกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แผนการเปลี่ยนแปลงการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Transition Action Plan: CTAP) เพื่อลดการเกิดของเสียจากกระบวนการผลิต และลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุด ด้วยการเปลี่ยนมาใช้พลังงานที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น พลังงานไอน้ำ พลังงานไฟฟ้าหหมุนเวียน 100% พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ รวมไปถึงการใช้สารทำความเย็นในโรงงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะลดคาร์บอนในโรงงานของเราได้อย่างแท้จริง
- การใช้ปั๊มความร้อน
นอกจากการให้ความร้อนและน้ำร้อนในโรงงานของเราแล้ว แหล่งพลังงานความร้อนยังสามารถใช้ในกระบวนการผลิต เช่น การบรรจุพาสเจอร์ไรส์ไอศกรีมของเรา และสำหรับการทำความสะอาดอุปกรณ์แปรรูปในเครื่องจักรของเรา โดยวิเวก เนสาริการ์ (Vivek Nesarikar) ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรมระดับโลก อธิบายว่า ปั๊มความร้อนกำลังทำให้เราเปลี่ยนวิธีการจัดหาพลังงานความร้อน และช่วยให้เราสามารถนำความร้อนเหลือทิ้งกลับมาใช้ใหม่ได้ และลดต้นทุนรวมทั้งการปล่อยมลพิษได้อีกด้วย
“โดยรวมแล้ว การใช้พลังงานความร้อนของเรามากกว่าหนึ่งในสามในปัจจุบันมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เพื่อบรรลุเป้าหมายในการบรรลุความร้อนหมุนเวียน 100% ภายในปีพ.ศ.2573 เราจะพยายามเพิ่มการใช้ปั๊มความร้อนในทุกการดำเนินงานของเราให้มากขึ้น”
ความสำคัญเรื่องห่วงโซ่คุณค่าของยูนิลีเวอร์
ในฐานะองค์กรผู้ผลิต ยูนิลีเวอร์ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการห่วงโซ่คุณค่าอย่างยั่งยืน เรามุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมความยั่งยืนในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบที่ยั่งยืนไปจนถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต
เราพร้อมที่จะป็นผู้นำในการสร้างห่วงโซ่คุณค่าที่ยั่งยืน เพราะเราเชื่อว่าการจัดการห่วงโซ่คุณค่าอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนจะช่วยสร้างคุณค่าให้กับผู้บริโภคและชุมชน การร่วมมือกับพันธมิตรและการพัฒนานวัตกรรมเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนของเราต่อไป