ประเด็นดังกล่าวเป็น "เรื่องใหญ่" ที่ใครหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งไม่สามารถทำเพียงลำพังได้ ต้องร่วมมือทั้งองคาพยพในการสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นทั้งระบบห่วงโซ่คุณค่า หนึ่งในองค์กรชั้นนำระดับโลกอย่าง "ยูนิลีเวอร์" ไม่นิ่งนอนใจกับวิกฤตมลพิษจากพลาสติก (Plastic Pollution) จึงเป็นภาคธุรกิจแถวหน้าในการนำแนวคิด “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) มาเป็นหมุดหมายใหม่ของการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่นี้
ด้วยการประกาศเป้าหมายชัดเจนว่า จะผลักดันลดการใช้พลาสติกใหม่ลง 30% ภายในปี 2026 และ 40% ภายในปี 2028 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2019 โดยมุ่งเพิ่มการใช้เม็ดพลาสติกวัสดุรีไซเคิลให้ได้อย่างน้อย 25% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั้งหมดภายในปี 2025 และตั้งมั่นว่าพลาสติกทุกชิ้นที่ใช้จะต้องสามารถรีไซเคิล ใช้ซ้ำ หรือย่อยสลายได้ 100% ภายในปี 2030
การประกาศเป้าหมายที่ชัดเจนไม่ได้เป็นเพียงคำพูดสวยหรู แต่ได้ลงมือทำจริงทั้งองค์กร โดยในปี 2024 ยูนิลีเวอร์สามารถเก็บและแปรรูปพลาสติกได้ถึง 93% ของปริมาณที่จำหน่าย ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมาย “เก็บกลับมากกว่าที่ขาย” ที่ตั้งไว้ภายในปี 2025
นอกจากนี้ บริษัทยังเปิดตัวแนวคิดโครงการ “Future Flexibles” ซึ่งเป็นแผนวิจัยพัฒนาวัสดุบรรจุภัณฑ์แบบซองหลายชั้นชนิดใหม่ที่สามารถย่อยสลายและรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะพลาสติกชนิดอ่อนที่มักเป็นอุปสรรคต่อระบบรีไซเคิลในหลายประเทศ
หนุนกรีนเทค ดัน Circular Economy
ยูนิลีเวอร์ตระหนักดีว่าการผลักดัน Circular Economy ไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยความตั้งใจเพียงลำพัง หากขาด “เครื่องมือ” ที่จะเปลี่ยนความตั้งใจให้เป็นระบบ นั่นคือ "นวัตกรรมและเทคโนโลยี" ที่เป็นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม น้ำ รวมไปถึงออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สามารถรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้
บริษัทจึงลงทุนในศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์ เช่น การพัฒนาพลาสติก PET ใสแบบรีไซเคิลได้ 100% การออกแบบฝาขวดแบบ tethered caps ที่ติดอยู่กับขวดไม่หลุดหาย รวมถึงการจัดตั้ง Refill Stations และ Returnable Packaging ที่เริ่มทดลองใช้ในหลายประเทศ
อีกหนึ่งตัวอย่างคือ “Dove Refillable Deodorant” ที่ออกแบบแพ็กเกจอลูมิเนียมใช้ซ้ำได้หลายครั้ง หรือ แเปลี่ยนเป็นซันไลต์ RPet (ดูจากข่าวปฏิวัติพลาสติก)
ยูนิลีเวอร์ยังพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อติดตามการไหลเวียนของวัสดุซึ่งช่วยให้สามารถวิเคราะห์ ประเมิน และรายงานผลได้อย่างแม่นยำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรหมุนเวียนในทุกระดับของห่วงโซ่อุปทาน
จับมือพันธมิตร เดินหน้าสู่เป้าหมาย
ยูนิลีเวอร์เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงต้องอาศัย “ความร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน” จึงได้ร่วมกับผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ แบรนด์ ผู้ค้าปลีก ผู้รีไซเคิล รัฐบาล และองค์กรพัฒนาเอกชนประมาณ 250 รายแรกในการลงนามใน New Plastics Economy Global Commitment ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อกำจัดขยะพลาสติกและมลพิษตั้งแต่ต้นทาง ปัจจุบันมีผู้ผลิตร่วมลงนามมากกว่า 500 ราย ซึ่งคิดเป็น 20% ของบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดที่ผลิตทั่วโลก
ขณะเดียวกัน ยูนิลีเวอร์ได้ร่วมเป็นสมาชิกของ Consumer Goods Forum Plastic Waste Coalition of Action ที่รวมองค์กรรายใหญ่ในอุตสาหกรรม เพื่อร่วมมือกันพัฒนาออกแบบบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับบรรจุภัณฑ์พลาสติก
ความมุ่งมั่นขององค์กรในการสร้างความร่วมมือไม่หยุดเพียงเท่านี้ยูนิลีเวอร์ เป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง Business Coalition for a Global Plastics Treaty หรือพันธมิตรภาคธุรกิจเพื่อสนธิสัญญาพลาสติก ที่ผลักดันให้เกิดข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยการลดมลพิษพลาสติกในระดับโครงสร้าง พร้อมสนับสนุนการทำงานร่วมกับ UNDP, AIM-Progress และพันธมิตรใน 190 ประเทศ
นอกจากนี้ บริษัทยังร่วมกับ USAID และ EY จัดตั้งโครงการ CIRCLE Alliance ด้วยงบประมาณ 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจขนาดเล็กในห่วงโซ่ขยะพลาสติกในประเทศกำลังพัฒนา เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับ “แรงงานหญิง” ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางในอุตสาหกรรมนี้
ล่าสุด ยูนิลีเวอร์ยังแสดงบทบาทในระดับนโยบาย โดยสนับสนุนให้กลุ่มสมาคมการค้า (trade associations) ที่ตนเป็นสมาชิก ออกจุดยืนที่สอดคล้องกับนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลก
ด้าน Rebecca Marmot ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความยั่งยืนของยูนิลีเวอร์ กล่าวว่า “เรากำลังกระตุ้นให้สมาคมอุตสาหกรรมที่เราร่วมงานด้วย แสดงการสนับสนุนอย่างชัดเจนต่อเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของยูนิลีเวอร์ รวมถึงการยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว และการนำแนวทางเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูมาใช้มากขึ้น”
การทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่น ซัพพลายเออร์รายย่อย และหน่วยงานรัฐบาล ไม่เพียงส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของ UN ใน SDG ข้อ 5, 12 และ 13 ด้วย ขยายความเป้า
ยูนิลีเวอร์ไม่เพียงเป็นผู้นำด้านสินค้าอุปโภคบริโภค แต่ยังเป็น “ผู้เปลี่ยนเกม” ในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ยั่งยืน ด้วยเป้าหมายที่ชัด ข้อมูลที่โปร่งใส เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า และความร่วมมือทุกระดับจะยิ่งผลักดันไปสู่การเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีมากกว่าเดิม
นี่จึงเป็นบทพิสูจน์ ที่เห็นได้ชัดว่าในยุคที่ทุกธุรกิจต้องตอบคำถามว่า “เราได้ทิ้งอะไรไว้ให้คนรุ่นถัดไป” ยูนิลีเวอร์เลือกตอบด้วยความกล้า และลงมือทำอย่างจริงจัง เพื่อเปลี่ยนเส้นทางจาก Linear Economy สู่ Circular Economy ที่ไม่มีใครต้องเป็นผู้สูญเสียอีกต่อไป