
เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว การพูดคุยของคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลครั้งที่ 5 และครั้งสุดท้ายตามแผน (INC5) เพื่อร่างสนธิสัญญาว่าด้วยขยะพลาสติกระดับโลกของสหประชาชาติสิ้นสุดลงโดยไม่มีการบรรลุข้อตกลงใด ๆ ทุกฝ่ายจึงตกลงที่จะประชุมกันอีกครั้ง
ในสัปดาห์หน้า Ed Shepherd ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายความยั่งยืนระดับโลกของยูนิลีเวอร์จะเข้าร่วมการเจรจาที่กรุงเจนีวา ซึ่งเรียกว่า INC5.2 โดยเป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้แทนจากพันธมิตรภาคธุรกิจเพื่อสนธิสัญญาพลาสติกโลก (Business Coalition for a Global Plastics Treaty) ซึ่งยูนิลีเวอร์เป็นประธานร่วม เราขอให้เขาอธิบายว่าจะเกิดอะไรขึ้นในระหว่างการเจรจา และผลที่ได้รับอาจมีอะไรบ้าง
- คุณมองในแง่บวกมากน้อยเพียงใดที่สนธิสัญญาว่าด้วยขยะพลาสติกระดับโลกจะได้รับความเห็นชอบใน INC5.2?
ยังมีงานที่ต้องทำอีกมากเพื่ออุดช่องว่างระหว่างตำแหน่งในคณะรัฐบาล แต่ขณะเดียวกันก็มีกระแสผลักดันเพิ่มมากขึ้นว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ข้อตกลงที่มีความหมาย
หลายรัฐบาลเรียกร้องให้มีความมุ่งมั่นและมีความเห็นตรงกันในวงกว้างว่าสนธิสัญญาควรมีเนื้อหาอะไรบ้าง ผมมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นหลังจากมีสัญญาณทางการเมืองที่เข้มแข็งอย่างที่เราได้เห็นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตั้งแต่การแถลง Stand Up for Ambition ที่ INC5 ไปจนถึง Nice Wake Up Call ซึ่งการแถลงอย่างหลังนี้ได้รับเสียงสนับสนุนจาก 95 ประเทศ แต่เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหามลพิษจากขยะพลาสติกในระดับที่กำหนดได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเขตเศรษฐกิจหลักต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมให้ได้มากที่สุดในการกำหนดและสนับสนุนการบรรลุข้อตกลงของสหประชาชาติ
การหาข้อตกลงทางการเมืองระหว่างรัฐบาลและการเอาชนะมุมมองที่แตกต่างกันถือเป็นเป้าหมายหลักในการบรรลุสนธิสัญญานี้ หวังว่าเราจะได้เห็นผู้นำทางการเมืองระดับสูงซึ่งรวมถึงรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล เดินทางมาที่กรุงเจนีวาเพื่อช่วยดำเนินขั้นตอนการประนีประนอม
ถึงแม้จะเป็นโอกาสดีที่จะบรรลุข้อตกลงที่มีความหมาย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงมากที่การเจรจาจะล้มเหลว ความไม่ลงรอยกันในทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เราเห็นในปัจจุบันยิ่งทำให้ความเสี่ยงนี้เพิ่มมากขึ้น
ยูนิลีเวอร์จะอยู่ที่กรุงเจนีวาโดยเป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้แทนพันธมิตรภาคธุรกิจดังกล่าว เพื่อให้คำแนะนำและการสนับสนุนแก่รัฐบาลหลายประเทศในการจัดการกับปัญหาเชิงนโยบายที่ซับซ้อนเหล่านี้
- ยูนิลีเวอร์และพันธมิตรภาคธุรกิจมีจุดยืนอย่างไร?
เรากำลังผลักดันสนธิสัญญาว่าด้วยขยะพลาสติกที่มีกฎระเบียบด้านบรรจุภัณฑ์ที่สอดคล้องกัน เพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกันในขณะนี้ กฎระเบียบที่สอดคล้องกันจะช่วยผลักดันให้เกิดความสอดคล้องกันระหว่างประเทศ ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมความมุ่งมั่นในระดับประเทศ โดยช่วยเหลือธุรกิจอย่างเช่นพวกเราที่ดำเนินกิจการในหลายตลาด การทำเช่นนี้จะช่วยให้ธุรกิจและนักลงทุนมีความมั่นใจที่จำเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เกิดการส่งเสริมการตัดสินใจในระยะยาวและลดต้นทุนของเงินทุน
เราต้องการขยายขอบเขตโซลูชันในการจัดการกับมลพิษจากขยะพลาสติก และสนธิสัญญาที่มีกฎระเบียบที่สอดคล้องกัน จะช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ดำเนินงานได้ง่ายขึ้น เราเชื่อว่านี่เป็นวิธีที่คุ้มค่าที่สุดในการแก้ไขปัญหามลพิษจากขยะพลาสติก ควบคู่ไปกับการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม
- เราต้องการให้สนธิสัญญาว่าด้วยขยะพลาสติกครอบคลุมถึงเรื่องใดบ้างโดยเฉพาะ?
เรากำลังพยายามทำให้สนธิสัญญาครอบคลุมทั้งวงจรชีวิตพลาสติก โดยมีภาระผูกพันที่ใช้บังคับสำหรับบางภาคส่วนโดยเฉพาะเจาะจง เช่น บรรจุภัณฑ์ และความสามารถในการปรับให้เข้ากับบริบทของประเทศ
เราเห็นรายชื่อหน่วยงานทั่วโลกที่กำลังเลิกใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกและสารเคมีที่น่าเป็นกังวล (เรียกว่ามาตราที่ 3) โดยเป็นหลักสำคัญของสนธิสัญญาที่มีมีประสิทธิผล ควบคู่ไปกับเกณฑ์ข้อบังคับในการออกแบบผลิตภัณฑ์ (มาตราที่ 5) และมาตรการเพื่อนำพาการผลิตและการใช้พลาสติกบริสุทธิ์ไปสู่ระดับที่ยั่งยืน (มาตราที่ 6)
เรื่องการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืนเป็นประเด็นที่รัฐบาลมีจุดยืนแตกต่างกันมาโดยตลอด แต่สำหรับยูนิลีเวอร์ซึ่งเป็นผู้ใช้พลาสติกรายใหญ่ เป็นที่ชัดเจนว่าหากไม่มีมาตรการที่จะปรับปรุงการผลิตและการบริโภคให้มีความยั่งยืน เราก็คงไม่สามารถหยุดยั้งมลพิษจากพลาสติกได้
จึงเป็นเหตุผลที่ในเดือนตุลาคมปี 2024 กลุ่มพันธมิตรภาคธุรกิจได้ให้การรับรองปฏิญญา Bridge to Busan โดยเรียกร้องให้รัฐบาลต่าง ๆ บรรลุเป้าหมายถึงระดับที่ยั่งยืน
การดำเนินการแบบสมัครใจโดยต่างคนต่างทำนั้นไม่เพียงพอ และมาตรการที่กำหนดไว้แตกต่างกันในแต่ละประเทศจะเพิ่มอุปสรรคและต้นทุนให้กับธุรกิจในการนำบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการปรับเปลี่ยนไปใช้ในระดับขนาดใหญ่
- คุณให้คุณค่าของกฎระเบียบที่สอดคล้องกันอย่างไร?
เมื่อไม่นานนี้ พันธมิตรภาคธุรกิจได้ว่าจ้างให้ทำการศึกษาเพื่อสร้างแบบจำลองผลกระทบทางเศรษฐกิจจากแนวทางสองแบบในการควบคุมดูแลขยะพลาสติก แนวทางแรกใช้กฎระเบียบที่สอดคล้องกัน โดยที่ประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติตามมาตรการสำคัญร่วมกัน และอีกแนวทางหนึ่งใช้กฎระเบียบที่แตกต่างกัน โดยที่แต่ละประเทศกำหนดกฎเกณฑ์ของตนเอง
การศึกษาเหตุผลทางเศรษฐกิจนี้ ซึ่งมุ่งเน้นไปยังประเทศที่คัดเลือกมาแล้ว ได้แก่ บราซิล จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และแอฟริกาใต้ พบว่ากฎระเบียบที่สอดคล้องกันในองค์ประกอบสำคัญ เช่น การยกเลิกการผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์ และการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR) จะนำมาซึ่งมูลค่าทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับแนวทางการใช้กฎระเบียบที่แตกต่างกัน
ในระดับโลก กฎระเบียบที่สอดคล้องกันสามารถปลดล็อกการลงทุนอย่างมหาศาลผ่าน EPR ซึ่งผลักดันการขยายระบบการจัดการขยะและการลดปริมาณขยะที่ถูกจัดการอย่างไม่เหมาะสม ในระหว่างปี 2026 ถึงปี 2040 รายได้จาก EPR อาจสูงถึง 5,760 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าสองเท่าของรายได้ที่ทำได้ภายใต้แนวทางการใช้กฎระเบียบที่แตกต่างกัน
ในระดับโลก กฎระเบียบที่สอดคล้องกันสามารถปลดล็อกการลงทุนอย่างมหาศาลผ่าน EPR ซึ่งผลักดันการขยายระบบการจัดการขยะและการลดปริมาณขยะที่ถูกจัดการอย่างไม่เหมาะสม ในระหว่างปี 2026 ถึงปี 2040 รายได้จาก EPR อาจสูงถึง 5,760 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าสองเท่าของรายได้ที่ทำได้ภายใต้แนวทางการใช้กฎระเบียบที่แตกต่างกัน
ในระดับประเทศ ประโยชน์ที่ได้รับก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
อัตราการรีไซเคิลของบราซิลอาจสูงขึ้น 21% ภายใต้กฎระเบียบที่สอดคล้องกัน เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ใช้กฎระเบียบแตกต่างกัน โดยขยะพลาสติกที่ถูกจัดการอย่างไม่เหมาะสมจะลดลง 1 ล้านตัน ประเทศจีนสามารถเสริมจุดยืนของตนเองในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการผลิตที่ยั่งยืนผ่านการเติบโตของอุตสาหกรรมรีไซเคิล และการมีขยะรีไซเคิลในปริมาณมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสูงขึ้น 80% ในสถานการณ์ที่ใช้กฎระเบียบสอดคล้องกัน และประเทศอินเดียสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดได้ถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2040 ทำให้มีทรัพยากรสำหรับการอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานและลงทุนในนวัตกรรม
- คุณอยากจะบอกอะไรกับนักเจรจาบ้าง?
มีการจัดแนวทางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนระหว่างรัฐบาล ธุรกิจ และประชาสังคมในองค์ประกอบหลักที่สามารถทำได้ และควรทำ เพื่อส่งเสริมให้มีสนธิสัญญาที่มีประสิทธิผล
เรายินดีเปิดรับความพยายามอย่างต่อเนื่องของประเทศต่าง ๆ ในการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ทั้งในระดับการเมืองและเทคนิค และขอสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกสหประชาชาติทั้งหมดทำงานเพื่อบรรลุข้อตกลงที่มุ่งหมายให้ได้ในกรุงเจนีวา
ถึงเวลาแล้วที่รัฐมนตรีจะต้องแสดงความเป็นผู้นำที่กล้าหาญและลงมือทำงานนี้ให้สำเร็จ
การดำเนินการแบบสมัครใจโดยต่างคนต่างทำนั้นไม่เพียงพอที่จะยุติการสร้างมลพิษจากพลาสติกได้ สนธิสัญญาขององค์การสหประชาชาติที่หนักแน่นถือเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่สุดในการเร่งดำเนินการเกี่ยวกับมลพิษจากพลาสติก และสร้างมูลค่าที่ชัดเจนในทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ขอให้ทุกท่านมาช่วยกันทำให้โอกาสนี้กลายเป็นจริงที่ INC5.2
Rebecca Marmot ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความยั่งยืนและกิจการองค์กรของ Unilever
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการศึกษาเหตุผลทางเศรษฐกิจของพันธมิตรภาคธุรกิจ