การเติบโตของยูนิลีเวอร์ในประเทศไทยเป็นอย่างไรในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ยูนิลีเวอร์เป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคอันดับ 1 ในประเทศไทย โดยแบรนด์ของเราครองความเป็นผู้นำตลาดถึง 73% โดย 98.2% ของครัวเรือนไทย 25 ล้านครัวเรือนใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา 3 ครั้งต่อวัน
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา, ยูนิลีเวอร์ประเทศไทยได้เจริญเติบโตมากกว่า GDP ของประเทศ และการเติบโตของยอดค้าปลีกของเราในปี 2566 มีอัตราการเติบโตที่ 11.1%
กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีการเติบโตสูงได้แก่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า (11.4%), ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายและมือ (24.0%), แชมพู (12.9%), ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม (13.6%), และสบู่เหลว (22.4%)
ยูนิลีเวอร์ประเทศไทยยังได้รับรางวัลจาก HR Asia ในฐานะหนึ่งในบริษัทที่น่าร่วมงานมากที่สุดในประเทศไทยเป็นเวลา 5 ปีติดต่อกัน (พ.ศ. 2562 - 2566)
อะไรเป็นตัวผลักดันการเติบโตที่แข็งแกร่งนี้
ตลาดในไทยเป็นตลาดแบบผสมผสาน โดยส่วนใหญ่จะเป็นการค้าขายปลีกแบบสมัยใหม่ (มากกว่าสองในสาม) การค้าแบบกระจายสินค้าผ่านช่องทางจัดจำหน่อย 30% และการค้าอิเล็กทรอนิกส์ (dCommerce) ที่กำลังเติบโต โดยเฉพาะการสตรีมและการขายผ่านโซเชียลมีเดีย
เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในตลาดนี้ ยูนิลีเวอร์มุ่งเน้นสร้างการเติบโตในช่องทางหลักอย่างไฮเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกรายย่อย นอกจากนี้ยังมองหาการเติบโตจากช่องทางในอนาคตไปพร้อม ๆ กัน เช่น ร้านค้าเพื่อสุขภาพและความงาม ร้านสะดวกซื้อ และการค้าอิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งหมายถึงการตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น การซื้อบ่อยขึ้น ขนาดที่เล็กลง และเน้นความสะดวกมากขึ้น รวมถึงการตอบสนองต่อการควบคุมราคาและโครงการกระตุ้นการจับจ่ายของรัฐบาล และการนำเสนอโซลูชั่นที่เน้นลูกค้าและผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางซึ่งปรับให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคในช่องทางต่าง ๆ
ตัวอย่างเช่น ทีมได้จัดเตรียมโซลูชัน eB2B ให้กับร้านค้าปลีกรายย่อย เพื่อใช้ในการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ และยังให้บริการแจ้งเตือนปริมาณสินค้าในสต็อกด้วยระบบ AI เพื่อลดการเสียโอกาสในการขาย
การพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมในแบรนด์หลักสำหรับตลาดท้องถิ่นของเราก็มีส่วนพลิกเกมเช่นกัน
ตัวอย่างหนึ่งคือการพัฒนาและเปิดตัววาสลีน กลูตา-ไฮยา เซรั่ม เบิร์สท์ โลชั่น ซึ่งออกแบบมาเพื่อมอบความกระจ่างใสและความชุ่มชื้นที่เหนือกว่าโดยไม่เหนียวเหนอะหนะ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในสภาพอากาศร้อนของประเทศไทย การเพิ่มผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดและลดเลือนริ้วรอยเข้ามาในกลุ่มผลิตภัณฑ์ก็ยังประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ยูนิลีเวอร์ดำเนินกิจการในประเทศไทยมานานแค่ไหน
เมื่อปี พ.ศ. 2433 บริษัท ลีเวอร์ บราเธอร์ส จำกัด ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สบู่ซักผ้าที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย จนถึงปีพ.ศ. 2451 บริษัทได้ได้รับหนังสือแต่งตั้งให้เป็นช่างทำสบู่ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 91 ปี มีโรงงาน 2 แห่งซึ่งตั้งอยู่ที่มีนบุรีและเกตเวย์ ซึ่งผลิต SKU จำนวน 2,100 รายการ โดยส่งออกไปยัง 15 ประเทศ
และมีพนักงานประจำ 3,005 คน โดย 97% ของทีมงานเป็นคนไทย และ 66% เป็นผู้หญิง
แบรนด์ที่ได้รับความนิยมของยูนิลีเวอร์ ประเทศไทยมีอะไรบ้าง
บรีส ซันซิล คนอร์ โอโม วาสลีน ซันไลต์ วอลล์ และคอมฟอร์ท
บรีส วาสลีน ซันไลต์ ซันซิล และวอลล์ ล้วนเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้
แบรนด์ของเราทำให้เป้าหมายกลายเป็นจริงในประเทศไทยได้อย่างไร
ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 10 ของโลกในด้านการสร้างมลพิษจากพลาสติกในทะเล โดยผลิตขยะพลาสติก 2 ล้านตันต่อปี ซึ่งมีการรีไซเคิลเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น
ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ได้เปิดตัวขวดผลิตภัณฑ์ล้างจานซันไลต์ที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งสามารถประหยัดพลาสติกบริสุทธิ์ได้ 274 ตันต่อปี โดยอ้างอิงจากปริมาณพลาสติกที่ใช้ต่อปีของปีพ.ศ. 2560 เมื่อมีการเปิดตัวขวดรีไซเคิล
แบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัทยังพยายามสร้างสังคมที่ยุติธรรม ไม่แบ่งแยก และเท่าเทียมอีกด้วย
แคมเปญ Hair Talk ของซันซิลท้าทายข้อห้ามของคนข้ามเพศ No Wrong Way to Love ของคอร์นเนตโต้ยกย่องความหลากหลายของความรัก และแคมเปญ #LetHerGrow ของโดฟท้าทายการบังคับให้ตัดผมในโรงเรียนไทย ซึ่งส่งผลให้กระทรวงศึกษาธิการยกเลิกข้อบังคับต่าง ๆ และโดฟได้รับรางวัล Bronze Cannes Lion Award
อะไรทำให้ตลาดนี้มีความพิเศษเฉพาะตัว
ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมระดับภูมิภาค มีชื่อเสียงในด้านความก้าวหน้าของผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงาม ดังที่เห็นได้จากการเปิดตัวนวัตกรรมของวาสลีน
จากข้อมูลปีพ.ศ. 2565 ประชากร 53% อาศัยอยู่ในเมือง โดยกลุ่มชนชั้นกลางที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ต้องปรับตัวเข้ากับเทรนด์ดิจิทัลและไลฟ์สไตล์ใหม่ ๆ
ประเทศไทยยังเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีมูลค่าสินค้ารวม (GMV) อยู่ที่ 22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (20.06 พันล้านยูโร)
1 ใน 4 ของครัวเรือนไทยซื้อสินค้าออนไลน์ โดยตลาดซื้อขาย 'pure player' (ขายสินค้าทางออนไลน์เท่านั้น) เช่น ช้อปปี้ ลาซาด้า และขายดีดอทคอม เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
ประเทศไทยยังมีการใช้งานติ๊กต็อก (TikTok) มากที่สุดในโลก โดยมีผู้ใช้งาน 63.6%
เชียลและช่องทางดิจิทัลทำให้บริษัทได้รับรางวัลความเป็นเลิศทางดิจิทัลจากสมาคมการจัดการแห่งประเทศไทยในการเป็นผู้นำด้านข้อมูลและ AI ในปีพ.ศ. 2565 และรางวัลผู้สร้างนวัตกรรมการค้าปลีกดิจิทัลในปี พ.ศ. 2566