โดยโครงการพันธมิตรเพื่อทัศนคติแบบไม่เหมารวมนี้ เป็นการร่วมมือกันระหว่างยูนิลีเวอร์และ องค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) ถือเป็นแนวร่วมระดับอุตสาหกรรมเพื่อขจัดทัศนคติเหมารวมที่ที่สร้างความเสียหายในการโฆษณา
โครงการพันธมิตรเพื่อทัศนคติแบบไม่เหมารวมได้มอบหมายให้ บริษัท อิปซอสส์ จำกัด (Ipsos Company Limited) ดำเนินการวิจัยระดับโลก ซึ่งรายงานนี้เผยให้เห็นถึงผลกระทบจากทัศนคติแบบเหมารวมในชีวิตประจำวันและการตอบสนองของผู้คนต่อสิ่งเหล่านั้น
จากผู้คนจำนวน 73% ที่เผชิญกับเหตุการณ์จากทัศนคติแบบเหมารวมในชีวิตประจำวันเป็นประจำ แต่มีเพียง 30% จากกลุ่มคนเหล่านั้นที่แสดงออกหรือตอบโต้ต่อเหตุการณ์นั้น
สองเหตุผลหลักที่ทำให้ผู้คนเลือกที่จะเงียบและไม่แสดงออก คือ 50% ไม่ต้องการทำให้สถานการณ์บานปลาย และ 41% ไม่รู้ว่าจะแสดงออกอย่างไร
ด้วยเหตุนี้ ยูนิลีเวอร์จึงนำร่องโครงการพันธมิตรเพื่อทัศนคติแบบไม่เหมารวม ที่เรียกว่า "ไม่พูดอะไร ไม่มีการเปลี่ยนแปลง" (Say Nothing, Change Nothing) นี้
โครงการนี้เน้นย้ำถึงการรวมพลังของการยืนหยัดและแสดงออกเมื่อต้องเผชิญกับทัศนคติแบบเหมารวม โดยมีนักแสดงจากเรื่อง แบลค แพนเธอะ (Black Panther) ร่วมกับนักแสดง, นักเขียนบทละคร นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรี และ ดาไน กูริรา (Danai Gurira) ทูตสันถวไมตรีแห่งสหประชาชาติ
คู่มือทัศนคติแบบไม่เหมารวม (Unstereotype) : วิธีรับมือกับทัศนคติแบบเหมารวม
หากคุณ 'ไม่พูดอะไร คุณจะไม่สร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย' ความเงียบเป็นรูปแบบหนึ่งของการการสมรู้ร่วมคิด
อลีน ซานโตส (Aline Santos), ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายแบรนด์และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความเท่าเทียม ความหลากหลาย และการไม่แบ่งแยก
เพื่อช่วยให้ผู้คนสามารถออกมาแสดงจุดยืนในเชิงบวกต่อทัศนคติแบบเหมารวม ทางพันธมิตรเพื่อทัศนคติแบบไม่เหมารวม ได้ทำงานร่วมกับนักวิทยาศาสตร์เชิงพฤติกรรม ในการสร้างคู่มือทัศนคติแบบไม่เหมารวม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ
คู่มือนี้มีเคล็ดลับและหัวข้อสนทนาที่เป็นประโยชน์มากมายที่จะช่วยให้ผู้คนท้าทายพฤติกรรมแบบเหมารวมได้อย่างปลอดภัย และสามารถเปลี่ยนจากเป็นผู้ที่เมินเฉยต่อทัศนคติแบบเหมารวมไปสู่ผู้ที่เข้าใจต่อสถานการณ์และสามารถรับมือได้อย่างอย่างมั่นใจ
โดยอลีน ซานโตส (Aline Santos) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายแบรนด์และหัวหน้าฝ่ายทุน ความหลากหลาย & การไม่แบ่งแยกของยูนิลีเวอร์ และรองประธานของพันธมิตรเพื่อทัศนคติแบบไม่เหมารวม กล่าวว่า “อาจเป็นเรื่องยากสำหรับบางคนที่จะได้ยิน แต่หากไม่พูดอะไร ก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ฉะนั้นการนิ่งเฉยคือรูปแบบหนึ่งของการสมรู้ร่วมคิด”
“นั่นคือเหตุผลที่เรารู้สึกว่า มันสำคัญมากที่ยูนิลีเวอร์จะร่วมเป็นผู้นำในโครงการนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าทุกคนมีพลังที่จะท้าทายทัศนคติแบบเหมารวม" อลีน กล่าวเสริม
เนื่องจากความปลอดภัยส่วนบุคคลของผู้คนเป็นสิ่งสำคัญ คู่มือทัศนคติแบบไม่เหมารวมนี้จึงแนะนำให้เราพิจารณาประยุกต์ใช้แนวทางสามขั้นตอน ได้แก่ หยุด สังเกต และแนะนำ ซึ่งต่อไปนี้จะเป็นประเด็นสำคัญและเคล็ดลับที่สามารถนำไปใช้ได้จริง
วิธีเผชิญกับทัศนคติแบบเหมารวมอย่างมีประสิทธิภาพด้วยวิธีที่วัดผลและควบคุมได้
หยุด
เมื่อต้องเผชิญกับทัศนคติแบบเหมารวม ให้หยุดและหายใจเข้าลึกๆ สัก 2-3 ครั้ง และตัดสินใจแล้วเลือกที่จะท้าทายความคิดเหมารวมนั้นอย่างกระตือรือร้น
สังเกต
- อย่าท้าทายผู้ใช้แบบเหมารวม
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณรู้สึกปลอดภัยทางจิตใจก่อนที่จะทำอะไร
- หากสถานการณ์เกิดขึ้นทางออนไลน์ ให้ใช้คำแนะนำเดียวกันนี้ ดูว่าคุณสามารถเปลี่ยนเรื่องและทำให้บุคคลที่ถูกเหมารวมรู้สึกยินดีและเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่
แนะนำ
มุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ถูกพูด พูดจากใจของคุณและจากสิ่งที่คุณสังเกต กล้าที่จะเผชิญหน้ากับทัศนคติแบบเหมารวม ไม่ใช่ที่ตัวบุคคล พิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้ในการท้าทายอย่างปลอดภัย:
- “ฉันสงสัยว่าคนอื่นจะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินคุณพูดแบบนั้น”
- “นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งที่คุณสามารถพูดแบบนั้นได้”
- “ถ้าฉันอยู่ในสถานการณ์นั้น ฉันคิดว่าฉันจะรู้สึก [อธิบายสิ่งที่คุณรู้สึก]”

เมื่อรวมพลังกัน เสียงของเราสามารถสร้างความแตกต่างได้
“เราสามารถเพิ่มความมั่นใจแก่ผู้คนในการเปลี่ยนจากการเป็นผู้เมินเฉยต่อทัศนคติแบบเหมารวมไปสู่การเป็นผู้ยืนหยัด ด้วยการแบ่งปันเคล็ดลับและหัวข้อสนทนาที่เป็นประโยชน์และใช้งานได้จริง พร้อมทั้งสนับสนุนการสนทนาเกี่ยวกับหัวข้อนี้” อลีน อธิบาย
“ถ้าคุณพูดออกมา เพื่อนของคุณก็อาจจะพูดออกมา แล้วทีละคน คนรอบข้างคุณก็จะมีความมั่นใจที่จะพูดออกมาเพิ่มขึ้น” อลีน กล่าวเสริม
“เมื่อรวมพลังกัน เสียงของเราสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากมายในการทำลายและกำจัดอคติและสร้างโลกที่เท่าเทียมกัน ทีละคน ทีละสถานการณ์ และทีละคำ” อลีน กล่าวเสริม
คุณสามารถดาวน์โหลด คู่มือทัศนคติแบบไม่เหมารวม (Unstereotype) และค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการได้ที่นี่ แสดงการสนับสนุนของคุณบนโซเชียลมีเดียโดยใช้แฮชแท็ก #SayNothingChangeNothing