ข้ามไปที่ เนื้อหา

ยูนิลีเวอร์ คิดค้นวิธีและนวัตกรรมการผลิตใหม่ๆ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ที่ตีพิมพ์:

ยูนิลีเวอร์มีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2582 เรามุ่งมั่นที่จะจัดการกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่การผลิตของเรา เพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน โดยพยายามที่จะจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้อยู่ที่ 1.5°C เท่านั้น ดังนั้นโลกของเราจะต้องบรรลุเป้าหมายทำให้ก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในกลางศตวรรษ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งในทศวรรษนี้

เพาะปลูกต้นไม้ ช่วยลดโลกร้อน

แน่นอนว่าภาคธุรกิจจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งยูนิลีเวอร์เอง ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยเราลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 68% ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 แต่นี่ยังเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น ในตอนนี้เราจึงทำงานร่วมกับพันธมิตรและใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อจัดการกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่การผลิตที่กว้างขวางของเรา มีการสนับสนุนซัพพลายเออร์รายสำคัญในการวัดและลดคาร์บอน รวมทั้งร่วมมือลงทุนด้านธรรมชาติ สภาพแวดล้อม และพัฒนานวัตกรรมใหม่ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของผลิตภัณฑ์ของเราก่อนที่จะเข้าถึงร้านค้าและผู้บริโภค ซึ่งตัวอย่างนวัตกรรมใหม่ๆ และวิธีต่างๆ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีดังนี้

1. การร่วมมือกับซัพพลายเออร์ลงทุนด้านสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม

ยูนิลีเวอร์ได้จัดตั้งกองทุน Climate & Nature โดยมีเป้าหมายในการลงทุน 1 พันล้านยูโรในโครงการต่างๆ ที่จะเร่งการลดการปล่อยคาร์บอนและสนับสนุนการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมทั่วโลก เพื่อให้มั่นใจว่าแบรนด์ของเรากำลังลงทุนในโครงการที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้คนทั่วโลก

ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพภูมิอากาศในทีมธุรกิจที่มีความยั่งยืนของเรา กำลังทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ที่มีส่วนสำคัญมากที่สุดต่อการปล่อยก๊าซขั้นต้น ซึ่งกว่า 70% มาจากวัตถุดิบ ส่วนผสม และบรรจุภัณฑ์ที่เราซื้อ ยูนิลีเวอร์จึงสนับสนุนในการตรวจสอบและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของเราได้เช่นกัน

2. ผลิตภัณฑ์นมที่ไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

โคนมสำหรับผลิตภัณฑ์ไอศกรีมของยูนิลีเวอร์ ได้รับการเลี้ยงอย่างดีด้วยการให้สาหร่ายสีแดงเป็นอาหาร เพื่อลดอาการเรอของวัวที่สามารถปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ซึ่งผู้จัดการฝ่ายจัดหาที่ยั่งยืนในกลุ่มผลิตภัณฑ์นมของเรา เน้นย้ำถึงวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่โครงการของยูนิลีเวอร์กำลังลงมือทำเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในวงจรการผลิต

3. การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และควบคุมปั๊มความร้อนในโรงงานผลิต

ยูนิลีเวอร์ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโรงงานให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ภายใต้การปล่อยก๊าซคาร์บอนที่น้อยลง ผลิตสินค้าที่ลดการปล่อยคาร์บอน รวมไปถึงนำพลังงานความร้อนกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมเพื่อสังคมที่เราพยายามทำงานกันอย่างเต็มที่

3.1 นวัตกรรมลดคาร์บอนในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และในโรงงานการผลิต

อีกหนึ่งนวัตกรรมตัวอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับการลดคาร์บอนของยูนิลีเวอร์ คือเราใช้นวัตกรรมทางเคมีเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดของเรา ตั้งแต่การพัฒนาสารสร้างฟองโฟมจากธรรมชาติไปจนถึงการสร้างส่วนผสมที่สามารถช่วยดักจับคาร์บอนในดิน เพราะในขณะที่วัสดุกำลังเกิดการย่อยสลายทางชีวภาพ จะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่อากาศ เราจึงทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนตั้งแต่วัสดุตั้งต้น โดยใช้คาร์บอนที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพและหมุนเวียนได้

นอกจากในส่วนของผลิตภัณฑ์แล้วนั้น เรายังมุ่งมั่นที่จะจัดหาไฟฟ้าหมุนเวียน 100% มาใช้ในโรงงานของเรา ซึ่งโครงข่ายไฟฟ้าของเรานั้นทำมาจากพลังงานหมุนเวียนอยู่แล้ว ดังนั้นในตอนนี้เราจึงมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนให้มากยิ่งขึ้น

3.2 การควบคุมปั๊มความร้อน สู่การนำพลังความร้อนมาใช้ใหม่

ในปัจจุบันพบว่ามากกว่าหนึ่งในสามของการใช้พลังงานความร้อนของยูนิลีเวอร์นั้นมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน ดังนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่จะใช้พลังงานความร้อนหมุนเวียนได้ 100% ภายในปี พ.ศ. 2573 เราจะพิจารณาที่จะเพิ่มการใช้ปั๊มความร้อนในการดำเนินงานของเราอย่างมีนัยสำคัญ

ซึ่งนอกจากการให้ความร้อนและน้ำร้อนในโรงงานของเราแล้ว แหล่งพลังงานความร้อนยังสามารถนำมาใช้ในระหว่างกระบวนการผลิตได้ด้วย และเรายังเปลี่ยนพลังความร้อนที่เหลือทิ้งจากปั๊มความร้อนให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งเป็นการลดต้นทุนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย

4. นวัตกรรมเพื่อการขนส่งที่ยั่งยืน ลดการปล่อยมลพิษ แต่คงคุณภาพการจัดเก็บผลิตภัณฑ์

รถขนส่งไอติมวอลล์ใช้พลังงานไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์

เพราะยูนิลีเวอร์มีผลิตภัณฑ์มากมาย ที่ต้องได้รับการขนส่งทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ทำให้เราต้องจัดหาวิธีและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดในระหว่างการขนส่งของเรา

4.1 การขนส่งที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งทางบกและทางน้ำ

ยูนิลีเวอร์มีการเคลื่อนย้ายตู้คอนเทนเนอร์เฉลี่ย 150,000 ตู้ต่อปี ดังนั้นไม่ว่าจะในช่วงเวลาใดก็ตาม จะมีตู้คอนเทนเนอร์ของเราอยู่ในทะเลจำนวนเฉลี่ย 10,000 ตู้ ทำให้ผู้อำนวยการฝ่ายโลจิสติกส์ระหว่างประเทศและรับผิดชอบในเรื่องของการลดการปล่อยคาร์บอน จะเฝ้าสังเกตอยู่ที่หอควบคุมเสมือนจริง เพื่อช่วยตรวจสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบเรียลไทม์ไม่ให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มากเกินไป ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่กระบวนการการขนส่งทางทะเลของเรา มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 3% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมดเท่านั้น

นอกจากนี้ในส่วนของทางบก เรายังใช้การผสมผสานนวัตกรรมระหว่างยานพาหนะไฟฟ้า และเชื้อเพลิงชีวภาพจากแหล่งที่ยั่งยืน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วทั้งเครือข่ายการจัดจำหน่ายอีกด้วย

4.2 การนำร่องขนส่งไอศกรีมด้วยรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า 100% รายแรกในไทยจากวอลล์

วอลล์ แบรนด์ไอศกรีมแสนอร่อยของยูนิลีเวอร์ เดินหน้าจัดทำนวัตกรรมเพื่อสังคมที่จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยการเปลี่ยนมาใช้รถบรรทุกควบคุมอุณหภูมิขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ในการขนส่งไอศกรีมเป็นรายแรกในไทย สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 76% เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจากฟอสซิล พร้อมการันตีรสชาติและคุณภาพไอศกรีมในแบบวอลล์ขนานแท้ ส่งถึงมือผู้บริโภค และจากการเพิ่มรถพ่วงและจำนวนรถขนส่งในปีนี้ เราคาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 322 ตันต่อปี

เพื่อให้การขับเคลื่อนสู่เป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2582 วอลล์ประเทศไทยมีความภาคภูมิใจที่ได้ผลักดันให้มีการใช้รถบรรทุกขนส่งสินค้าประเภทควบคุมอุณหภูมิด้วยตู้แช่แข็ง เป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ซึ่งเป็นการใช้พลังงานสะอาดในการขนส่งไอศกรีมเป็นรายแรกในไทยได้สำเร็จ การใช้รถพลังงานไฟฟ้า (EV) มาทดแทน จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ถึง 76% เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงปกติ

นายอะบิจิต ผู้อำนวยการธุรกิจไอศกรีมและกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายอะบิจิต ผู้อำนวยการธุรกิจไอศกรีมประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า "แม้เราจะเปลี่ยนมาใช้รถ EV ในการขนส่ง แต่บริษัทขอรับรองว่าคุณภาพและรสชาติของไอศกรีมวอลล์ยังคงอร่อยเช่นเดิม เพราะนอกจากรถจะใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนแล้ว ยังใช้ไฟฟ้าในการควบคุมระบบทำความเย็นสำหรับแช่แข็งไอศกรีม ให้คงอุณหภูมิอยู่ระหว่าง -20 ถึง -22 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาผลึกน้ำแข็งให้มีขนาดเล็ก ให้ไอศกรีมคงรสชาติและความเนียนของเนื้อสัมผัสจนส่งมอบถึงมือผู้บริโภค และมีระบบสำรองควบคุมอุณหภูมิของไอศกรีมไม่ให้ละลายอีกด้วย”

โดยวอลล์ดำเนินงานตามแนวทาง Unilever Compass ที่มุ่งเน้นการดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ควบคู่กับการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน การเปลี่ยนมาใช้รถบรรทุก EV ในการขนส่งไอศกรีมเป็นหนึ่งในความพยายามเพื่อบรรลุเป้าหมายของยูนิลีเวอร์ ซึ่งตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งของบริษัทฯ ให้ได้ 40-50% ภายในสิบปีข้างหน้า โดยใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในการขนส่ง เช่น Hydrogen fuel cell และ Battery Electric Vehicles (BEVs) และเร่งหาเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นพลังงานสะอาด ในการขนส่งผลิตภัณฑ์แช่เย็นและแช่แข็ง การใช้รถบรรทุก EV ขนส่งไอศกรีมของวอลล์ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการดำเนินงานนี้

กลับไปด้านบน