“การโฟกัสนำไปสู่ความสำเร็จ นั่นคือข้อมูลเชิงลึกอันดับ 1 ของการขับเคลื่อนแผนการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน (USLP) เพื่อการมีโภชนาการที่ดีตลอด 10 ปีที่ผ่านมา” Carla Hilhorst รองประธานบริหารฝ่ายวิจัยและพัฒนา Unilever Foods และ Refreshment R&D กล่าว และประกาศว่ายูนิลีเวอร์ไม่เพียงแต่บรรลุเป้าหมายแต่ยังสามารถทำได้เกินเป้าหมายอันท้าทายที่ตั้งไว้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารในปี 2553 อีกด้วย
ในช่วงเวลาเพียง 10 ปี ธุรกิจไม่เพียงเพิ่มสัดส่วนของอาหารที่เป็นไปตามมาตรฐานทางโภชนาการ (HNS) เป็นสองเท่า ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก เพื่อจำกัดระดับน้ำตาล เกลือ ไขมัน และแคลอรี่ ในผลิตภัณฑ์ของเรา โดยเพิ่มขึ้นจาก 30% ตามเกณฑ์ในปี 2553 ไปจนถึง 61% ในปี 2563 โดยการดำเนินการดังกล่าวโดยไม่กระทบกับรสชาติหรือเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์แต่อย่างใด
“ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพและชีวิตของผู้คนอย่างแท้จริง” Carla กล่าว พร้อมเสริมว่า แม้ว่าการบรรลุเป้าหมายนี้มักจะรู้สึกเหมือนการปีนภูเขาอันยิ่งใหญ่ แต่เธอก็ภูมิใจที่ HNS เป็นส่วนพื้นฐานสำคัญเสมือน DNA ของบริษัท
"ฉันได้เห็นความเป็นเจ้าของ HNS ที่เติบโตในธุรกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกันกับความมั่นใจว่าเรามีเครื่องมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชั้นเลิศที่มีรสชาติดีเยี่ยมภายใต้มาตรฐานเหล่านั้น ในการดำเนินการของเราทุกๆ ขั้นตอน เราทำให้โลกดีขึ้นทีละเล็กทีละน้อย และขั้นตอนเล็กๆน้อยๆมากมายเหล่านี้รวมกันแล้ว สามารถสร้างความแตกต่างอย่างยิ่งใหญ่ในที่สุด" เธอกล่าว
ความท้าทาย
การขับเคลื่อน เริ่มต้นในปี 2546 เมื่อยูนิลีเวอร์เปิดตัวโครงการเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ โดยใช้ระบบการจัดทำโปรไฟล์ที่ซึ่งประเมินอาหารจากสารอาหารที่มีความน่ากังวล เช่น น้ำตาล เกลือ ไขมันอิ่มตัว และ ไขมันทรานส์ ในปี 2552 มีการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ 30,000 รายการ และภายในปี 2553 ธุรกิจของเราก็พร้อมที่จะกำหนดโรดแมปในการปรับปรุงพัฒนา HNS ของกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารตามแนวทางที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลกให้ดียิ่งขึ้น
ความท้าทายนี้ กำหนดเสาหลักแปดประการที่ใช้วัดความก้าวหน้า :
- การปฏิบัติตามมาตรฐานทางโภชนาการสูงสุด
- การลดเกลือ
- การลดน้ำตาล
- การลดไขมันอิ่มตัว
- การขจัดไขมันทรานส์
- การลดแคลอรี่ในไอศกรีมสำหรับเด็ก
- การลดแคลอรี่ในผลิตภัณฑ์ไอศกรีม
- การปรับปรุงฉลากโภชนาการ
การยึดมั่นกับเป้าหมายที่มีกรอบระยะเวลาที่สามารถวัดผลได้เหล่านี้ ตอกย้ำภารกิจของยูนิลีเวอร์ในมอบผลิตภัณฑ์อาหารที่ไม่เพียงแต่มีรสชาติที่ดีเท่านั้น แต่ยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย
การทำอาหารที่ดีเป็นทางเลือกอย่างง่ายต่อสุขภาพที่ดี
การลดเกลือ น้ำตาล และไขมัน ในขณะเดียวกัน เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการในเชิงบวก ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการผลิตอาหารที่ไม่เพียงแค่อร่อย แต่ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย โดยการลดปริมาณเกลือที่อาจนำไปสู่ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และหลอดเลือดในสมองอุดตัน เป็นต้น หรือน้ำตาลที่อาจส่งผลให้ฟันผุและเป็นโรคอ้วน แบรนด์ของเรากำลังช่วยให้ทางเลือกของอาหารสุขภาพเป็นทางเลือกที่เห็นผลทางสุขภาพอย่างเป็นที่ประจักษ์เช่นเดียวกัน
และในขณะที่อาหารแปรรูปยังคงถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ 'ไม่ดีต่อสุขภาพ' ของหลายๆ คน แต่คุณภาพทางโภชนาการของอาหารควรเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า "การแปรรูปถูกตีความเป็นความหมายเดียวกันกับสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ" คาร์ล่ากล่าว "แต่ในความเป็นจริงอาหารเหล่านี้สามารถมีคุณค่าทางโภชนาการได้มากพอๆกับอาหารสดและเป็นวิธีที่สะดวกและราคาไม่แพงสำหรับหลายคนในการที่จะได้รับสารอาหารที่ต้องการ"
การตอบสนองต่อความอยากอาหารนำไปสู่การเติบโต
สำหรับผู้ผลิตอาหารรายใหญ่รายหนึ่งของโลก นี่เป็นธุรกิจที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบทางสังคม เห็นได้ชัดว่าการตอบสนองความต้องการอาหารเพื่อสุขภาพที่เพิ่มขึ้นนี้ ย่อมนำไปสู่การเติบโตที่ดีต่อธุรกิจ
"ทุกวันนี้ เมื่อมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ผู้คนมักเลือกอาหารที่ผสมผสานทั้งรสชาติและสุขภาพที่ดี อยู่ในราคาที่เหมาะสม และไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม" Hanneke Faber ประธานฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มกล่าว แต่การส่งอาหารเหล่านั้นให้กับทุกคน ทุกที่นั้น ต้องมีระบบอาหารโลกที่เป็นธรรม ดีต่อสุขภาพและยั่งยืนมากขึ้น และในขณะที่การเปลี่ยนแปลงระบบอาจเป็นเรื่องยากสำหรับเราในฐานะธุรกิจ แต่ก็เป็นโอกาสในการเติบโตที่เราไม่สามารถเสียไปได้เลย"
ผลลัพธ์ในปี 2563
แล้วเราทำได้ดีแค่ไหน?
เกลือ : ในปี 2553 เรามุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นใจว่าภายในปี 2563 75% ของผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารของเรา จะช่วยให้ผู้บริโภคได้รับปริมาณเกลือสูงสุด 5 กรัมต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณที่แนะนำโดย WHO เราทำได้เกินเป้าหมายนี้ โดย 77% ของผลิตภัณฑ์อาหารของเราอยู่ในเกณฑ์ ตามความเป็นจริง นั่นหมายความว่าเราได้ขจัดเกลือออกไปแล้วกว่า 37 ล้านตัน จากอาหารของเรา ซึ่งเทียบเท่ากับสระว่ายน้ำเกือบ 15,000 แห่ง
น้ำตาล : ตั้งแต่ปี 2553 เราได้ลดน้ำตาลในเครื่องดื่มชาที่มีรสหวานทั้งหมดของเราลง 23% และเครื่องดื่มชาภายใต้ Pepsi-Lipton ลง 29% นั่นแสดงถึงการประหยัดน้ำตาลได้มากถึงเกือบ 170 พันล้านก้อน
แคลอรี่: เพียงสี่ปีในการดำเนินโครงการของเรา ไอศกรีมสำหรับเด็กของเราได้บรรลุเป้าหมายทางโภชนาการ โดย 100% ของไอศกรีม มีปริมาณแคลอรี่ 110 แคลอรี่ หรือต่ำกว่า ต่อหนึ่งบริโภค ต่อเนื่องมาในปี 2563 ที่ผลิตภัณฑ์ไอศกรีมของเรา 93% มีจำนวนพลังงาน 250 แคลอรี่หรือต่ำกว่านั้น
สารอาหารที่มีประโยชน์ : เราภูมิใจที่จะกล่าวว่าในปี 2563 เรามอบผลิตภัณฑ์อาหารกว่า 126 พันล้าน เสิร์ฟ มีธาตุอาหารหลักอย่างน้อยหนึ่งอย่าง ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี ไอโอดีน ธาตุเหล็ก และสังกะสี ขณะนี้เรากำลังจะแตะที่ 2 แสนล้านในปี 2565
ไขมัน : ในเดือนเมษายน 2564 เราจะปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่เราได้ให้ไว้กับองค์การอนามัยโลกที่ว่า กรดไขมันทรานส์ที่ผลิตในอุตสาหกรรมจะไม่เกิน 2 กรัมต่อ 100 กรัมของไขมัน หรือน้ำมันทั้งหมดในอาหาร ทั้งหมดสองปีก่อนเป้าหมายปี 2566
นอกจากนี้เรายังบรรลุเป้าหมายของเราในเรื่องของไขมันทรานส์โดยไม่มีผลิตภัณฑ์ใดของเราที่มีไขมันทรานส์ที่มาจากน้ำมันพืชทีมีส่วนผสมของไฮโดรเจน
ทิศทางต่อจากนี้
การบรรลุเป้าหมายทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า โภชนาการมีความสำคัญต่อธุรกิจและผู้คนมากขนาดไหนอย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้เป็นเป้าหมายสำคัญที่การเดินทางยังอีกยาวไกลนัก และแรงผลักดันที่เกิดขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมาจะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้
แล้วต่อไปคืออะไร? โครงการ The Future Foods ได้จัดทำโรดแมปสำหรับก้าวต่อไป ในเส้นทางโภชนาการที่ดีของ Unilever ซึ่งรวมถึงเป้าหมายใหม่ๆ ภายในปี 2568 เป้าหมายคือการเพิ่มจำนวนอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการในเชิงบวกเป็นสองเท่า โดยการเพิ่มปริมาณผัก ผลไม้ หรือธาตุอาหารลงไปด้วย
ภายในปี 2565 เราหวังว่าจะเห็น 70% ของผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารของ Unilever เป็นไปตามมาตรฐาน HNS และเห็นว่า 85% จะช่วยให้ผู้บริโภคจำกัดการบริโภคเกลือไม่เกิน 5 กรัมต่อวัน
สุดท้ายนี้ เราต้องการให้แน่ใจว่า 95% ของผลิตภัณฑ์ไอศกรีมของเรา มีน้ำตาลไม่เกิน 22 กรัมต่อส่วน และไม่เกิน 250 แคลอรี่
สิ่งเหล่านี้เป็นเป้าหมายที่มีความทะเยอทะยาน แต่เป็นเป้าหมายที่ทีมของเราพร้อมและกระตือรือร้นที่จะเผชิญ "ฉันรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากที่เราบรรลุเป้าหมายในผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับ HNS ต้องใช้ความกล้าหาญ เรามีความท้าทายมากมาย แต่เราทุกคนเชื่อว่าสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง” Els de Groene ผู้อำนวยการโกลบอลด้านโภชนาการกล่าว
"การบรรลุมากกว่า 60% ของเป้าหมาย ส่งสัญญาณว่า เราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง" คาร์ลากล่าวสรุป “แต่เราไม่ต้องการหยุดเพียงเท่านี้ เราต้องยกระดับมาตรฐานทางโภชนาการต่อไป ในขณะเดียวกันก็ต้องเน้นย้ำเรื่องโภชนาการเชิงบวกควบคู่ไปด้วย”